สนใจชวนไปตกปลา...ในเขตมหาสารคามและยโสธร

วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554

ปลาสลิด



ปลาสลิด
ปลาสลิดปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Trichogaster pectoralis ในวงศ์ปลากัด ปลากระดี่ (Osphronemidae) มีรูปร่างคล้ายปลากระดี่หม้อ (T. trichopterus) ซึ่งเป็นปลาในสกุลเดียวกัน แต่มีลำตัวที่หนาและยาวกว่า หัวโต ครีบหลังในตัวผู้มีส่วนปลายยื่นยาวเช่นเดียวกับครีบก้น ครีบอกใหญ่ ตาโต ปากเล็กอยู่สุดปลายจะงอยปาก ครีบหางเว้าตื้นปลายมน ตัวมีสีเขียวมะกอกหรือสีน้ำตาลคล้ำ มีแถบยาวตามลำตัวตั้งแต่ข้างแก้มจนถึงกลางลำตัวสีดำ และมีแถบเฉียงสีคล้ำตลอดแนวลำตัวด้านข้างและหัว ครีบมีสีคล้ำขนาดโดยเฉลี่ย 10-16 เซนติเมตร พบขนาดใหญ่สุดถึง 25 เซนติเมตร นับเป็นปลาในสกุล Trichogaster ที่ใหญ่ที่สุดมีถิ่นอาศัยในแหล่งน้ำนิ่งที่มีพืชน้ำและหญ้ารกริมตลิ่งของภาค กลาง ภาคอีสานและภาคใต้ของประเทศไทย นอกจากนี้ยังพบในประเทศรอบข้างพฤติกรรมในการสืบพันธุ์เริ่มขึ้นในระหว่าง เดือนเมษายน-สิงหาคม โดยจะวางไข่โดยการก่อหวอดตามผิวน้ำติดกับพืชน้ำหรือวัสดุต่าง ๆ มักวางไข่ในช่วงกลางวันแดดรำไร หลังวางไข่เสร็จแล้วตัวพ่อปลาจะเป็นผู้ดูแลไข่จนฟักเป็นตัว ตัวเมียวางไข่ครั้งละ 4,000-10,000 ฟอง ในการเลี้ยงทางเศรษฐกิจนิยมให้เป็นการผสมพันธุ์หมู่ปลาสลิดนับเป็นปลาน้ำจืด เศรษฐกิจที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งของไทย นิยมแปรรูปเป็นปลาแห้งหรีอปลาเค็มที่รู้จักกันดี โดยเกษตรกรจะเลี้ยงในบ่อดิน โดยฟันหญ้าให้เป็นปุ๋ยและเกิดแพลงก์ตอนเพื่อเป็นอาหารปลา โดยพื้นที่เลี้ยงปลาสลิดที่เป็นที่รู้จักกันดี คือ อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ ที่เรียกว่า "ปลาสลิดบางบ่อ" นอกจากนี้ยังมีอีกแหล่งหนึ่งที่เคยมีชื่อในอดีต คือที่ ตำบลดอนกำยาน อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรีมีชื่อเรียกในภาษามาเลย์ว่า "sepat siam" ภาษาอังกฤษเรียกว่า "กระดี่หนังงู" (snakeskin gourami) และมีชื่อเรียกในราชาศัพท์อีกว่า "ปลาใบไม้" ทั้งนี้เนื่องจากคำว่า "สลิด" เพี้ยนมาจากคำว่า "จริต" พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 จึงได้ทรงแนะนำให้เรียกปลาสลิดในหมู่ราชบริพารว่า ปลาใบไม้ เพราะทรงเห็นว่ามีรูปร่างเหมือนใบไม้

ปลาสวาย



ปลาสวาย
ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pangasius hypophthalmus อยู่ในวงศ์ปลาสวาย (Pangasiidae) มีส่วนหัวค่อนข้างเล็ก แนวบริเวณหัวถึงครีบหลังลาดตรง ตาอยู่เสมอหรือสูงกว่ามุมปาก ปากแคบกว่าปลาบึก (Pangasianodon gigas) รูปร่างเพรียวแต่ป้อมสั้นในปลาขนาดใหญ่ ก้านครีบท้องมี 8 - 9 เส้น ครีบก้นยาว ปลาขนาดเล็กมีสีคล้ำเหลือบเงิน ด้านข้างลำตัวสีจางและมีแถบสีคล้ำตามยาว ครีบสีจาง ครีบหางมีแถบสีคล้ำตามแนวยาวทั้งตอนบนและล่าง ปลาขนาดใหญ่มีสีเทาหรือคล้ำอมน้ำตาล ด้านข้างลำตัวสีจาง มีขนาดประมาณ 50 เซนติเมตร ใหญ่สุด 1.5 เมตร
พบในแม่น้ำและลำคลองสายใหญ่ ทั่วประเทศไทย เป็นปลาที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจชนิดหนึ่ง ที่ซึ่งมีการเพาะเลี้ยงกันมานานกว่า 50 ปี แล้ว โดยเพาะขยายพันธุ์ได้สำเร็จในปี พ.ศ. 2509 มีฤดูวางไข่ในเดือนกรกฎาคม นิยมบริโภคโดยปรุงสดและรมควัน ในธรรมชาติ มักพบชุกชุมตามอุทยานปลาหรือหน้าวัดต่าง ๆ ที่ติดริมน้ำ โดยในบางพื้นที่อาจมีปลาเทโพ (P. larnaudi) เข้ามาร่วมฝูงด้วย และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับปลาที่สีกลายเป็นสีเผือก และจากการศึกษาล่าสุดพบว่า ในเนื้อปลาสวายนั้นมีโอเมกา 3 คิดเป็นปริมาณแล้วสูงกว่าในปลาทะเลเสียอีก โดยมีถึง 2,570 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนัก 100 กรัม

ปลาเทโพ

ชื่อไทย เทโพ หูหมาด
ชื่อสามัญ BLACK EAR CATFISH
ชื่อวิทยาศาสตร์ Pangasius larnaudii
ถิ่นอาศัย แต่เดิมมีชุกชุมในลำน้ำเจ้าพระยา ในปัจจุบันมีจำนวนลดน้อยลง ในภาคอีสานพบในแม่น้ำโขง ชาวบ้านเรียก ปลาหูหมาด
ลักษณะทั่วไป เป็นปลาไม่มีเกล็ดขนาดใหญ่ รูปร่างคล้ายกับปลาสวาย เพราะเป็นปลาในสกุลเดียวกันมีหัวโตหน้าสั้นทู่กว่าปลาสวาย ลำตัวยาวและด้านข้างแบน นัยน์ตาค่อนข้างโตและอยู่เหนือมุมปาก ปากกว้าง มีฟันซี่เล็กแหลมคมอยู่บนขากรรไกรทั้งสองข้าง มีหนวดเล็กและสั้นอยู่ที่ริมปากบนและมุมปากแห่งละหนึ่งคู่ กระโดงหลังสูงและมีก้านเดี่ยวอันแรกเป็นหนามแข็ง ครีบหูมีเงี่ยงแหลมแข็งข้างละอัน มีครีบไขมันอยู่ใกล้กับโคนครีบหาง ครีบหางมีขนาดใหญ่ปลายเป็นแฉกลึก ลำตัวบริเวณหลังมีสีดำคล้ำหรือสีน้ำเงินปนเทา หัวสีเขียวอ่อน ท้องสีขาวเงิน มีจุดสีดำขนาดใหญ่เหนือครีบหู
การสืบพันธุ์ เจริญพันธุ์อายุ 8เดือนขึ้นไป พ่อแม่ปลาดุกขุดแอ่งตื้น ๆ ตามท้องนา และวางไข่ติดกับรากหญ้าก้นหลุม ไข่ติด สีน้ำตาลอมแดง การฉีดฮอร์โมน อัตราฉีดตัวเมีย suprefact 20 - 30 ไมโครกรัม/กิโลกรัมร่วมกับ motilium 5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ตัวผู้ 15 ไมโครกรัมต่อกิโลกรัมร่วมกับ motilium 5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม โดยตัวเมียทิ้งไว้ 16 ชั่วโมงแล้วจึงรีด ส่วนตัวผู้ทิ้งไว้ 10 ชั่วโมงแล้วผ่าเอาน้ำเชื้อออกมาทำการผสมเทียม โดยใช้วิธีแห้งแบบดัดแปลง
อาหารธรรมชาติ กินสัตว์น้ำที่ขนาดเล็กกว่าและซากของสัตว์

ปลาไน



ปลาไน
หรือที่เรียกกันสากลว่า ปลาคาร์ป (อังกฤษ: carp)
เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cyprinus carpio
อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae)
เป็นปลาน้ำจืดที่เชื่อว่าเป็นปลาที่มนุษย์เลี้ยงเป็นชนิดแรกของโลกเพื่อเป็น อาหาร โดยเลี้ยงในประเทศจีนเมื่อประมาณ 2,000 ปีมาแล้ว โดยเริ่มพร้อมกับปลาทอง
เป็นปลาที่มีรูปร่างป้อม แบนข้างเล็กน้อย ส่วนหัวลาด ปากมีขนาดเล็ก มีหนวดสั้น 2 คู่ ครีบหลังค่อนข้างยาว ครีบหางเป็นเว้าแฉกลึก สีลำตัวมีสีน้ำตาลคล้ำอมทองหรือน้ำตาลอ่อน ท้องสีจาง บางตัวอาจมีสีสัน ปลาตัวผู้ในฤดูผสมพันธุ์จะมีตุ่มสิวขึ้นบริเวณใบหน้า และครีบอก ผสมพันธุ์และวางไข่ได้ทุกฤดูโดยวางติดกับพืชน้ำ
ปลาไนมีขนาดโตเต็มที่ได้ถึง 1.5 เมตร หนักกว่า 40 กิโลกรัม และสามารถวางไข่ได้ถึง 1 แสนฟอง ชอบอาศัยรวมเป็นฝูงในแหล่งน้ำไหลเชี่ยว และสามารถปรับตัวได้ทุกสภาพแหล่งน้ำ แต่จะไม่วางไข่ในแหล่งน้ำนิ่ง
เป็นปลาพื้นเมืองของประเทศจีนตะวันตกและภูมิภาคยุโรปตะวันออก ปลาไนมีชื่อเรียกในภาษาจีนว่า หลีฮื้อ
นิยมบริโภคด้วยการปรุงสด จัดเป็นปลาที่มีรสชาติดี เนื้อนุ่ม อร่อย และมีราคาแพง แต่ในบางภูมิภาค เช่น ออสเตรเลีย ปลาไนได้ถูกนำเข้าและถูกปล่อยลงแหล่งน้ำธรรมชาต้ จนแพร่ขยายพันธุ์กระทบต่อสัตว์น้ำพื้นเมืองเป็นเอเลี่ยนสปีชีส์ มีฉายาเรียกว่า "กระต่ายแม่น้ำ" (River Rabbit)
ในประเทศไทยถูกนำเข้าโดยชาวจีนที่เดินทางมาทางเรือ ในปี พ.ศ. 2455 เพื่อเป็นอาหาร และได้ถูกเลี้ยงครั้งแรกในพื้นที่แถบกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
อุปนิสัยของปลาปลาไน
ปลาไน เป็นปลากินพืชที่หากินโซนหน้าดิน โดยเฉพาะตามบ่อมักชอบคุ้ยดินขอบบ่อ กินอาหารได้แทบทุกชนิด ค่อนข้างตะกละ และมักถูกตกบริเวณใกล้ขอบบ่อได้ง่ายๆด้วยคันสั้น ปลาเกล็ดทุกชนิดมีประสาทการดมกลิ่นเหยื่อที่ใวโดยเฉพาะปลาไน
ปากปลาไนยืดหดตัวได้ตอนดูดกินเหยื่อ เหมือนท่อดูด ปากมีขนาดใหญ่ มักใช้การสูบเหยื่อที่บริเวณหน้าดิน
เหยื่อและวิธีตกชิงหลิวปลาไน
สามารถใช้เหยื่อได้ทั้งหมดทุกอย่าง ทั้งขนมปังป่น ขนมปังแผ่น หัวอาหาร รำ เหยื่อตกปลาเกล็ดทุกชนิดทุกยี่ห้อที่วางขายตามร้านอุปกรณ์ตกปลา
วิธีการตกชิงหลิว ใช้ เทคนิคหน้าดิน  โดยวางเหยื่อที่ผิวดิน
การเข้ามากินเหยื่อของปลาไน จะสังเกตุมีฟองอากาศเป็นเม็ดๆ ไล่มาเป็นทาง เป็นระยะๆ ทุ่นมักจมอย่างรวดเร็วมาก เนื่องจากการสูบเหยื่อของปาก เหมือนท่อ สครับเบอร์ ท่อดูดส้วม ซ๊วบ!.จ๊วบบ.. วัดไม่ทันก็ว่าวครับ ดูดแล้วพ่นพรืด ปากใหญ่ ขอเบ็ดเล็กมักว่าวถ้าช้า นอกจากบางจังหวะที่กินเต็มปาก ง่ายๆ ยกคันเบาๆก็ติด บางทีขอเบ็ดฝังลึกเข้าด้านในกรณีวัดคันช้า
ปลาไนเป็นปลาเกล็ดที่มีขนาดใหญ่ การใช้อุปกรณ์ชิงหลิวเพื่อตั้งใจตกปลาไน ควรมีความระมัดระวังอย่างยิ่ง นิสัยการติดเบ็ดแล้วสู้เบ็ดวิ่งออกแล้วย้อนเลาะเลียบด้านข้างฝั่งค่อนข้างดุ ดัน
 ปลาไนขนาดใหญ่ สู้เบ็ดมีลีลาดี มุดได้เนียน ชอบหลอกให้นักชิงหลิวบางท่านตายใจ ตั้งแต่การโดนวัดคันครั้งแรกมักจะดิ้นกับที่ก่อน จังหวะนี้นักชิงหลิวมักนึกไม่ถึง ว่าเป็นปลาไนขนาดใหญ่ แล้วออกวิ่งหน้าตั้งไปกลางหมาย สายเอ็นมักขาดได้ง่ายๆ  
หลอกครั้งต่อมาคือทำท่าว่าอ่อนแรงแต่มุดอยู่ตลอด นักชิงหลิวเผลอโดนหลอก โหนคันโน้มคันให้เชิดหัวขึ้นน้ำนึกว่าปลาอ่อน แต่จะถูกกระชากลงหน้าดินอีก ก็มีโอกาศสายขาดได้ง่าย  ปลาแค่ตามแรงงัดคันมาข้างหน้าเรา แต่จะพยายามอยู่หน้าดินตลอด ถ้าหยุดเล่นคันเมื่อไหร่ มีวิ่งก๊อกสองนับว่ามีลีลากวนประสาทที่ประทับใจมาก

ปลานิล


ปลานิล
สามารถ อาศัยอยู่ได้ในน้ำจืดและน้ำกร่อย มีถิ่นกำเนิดเดิมอยู่ที่ทวีปแอฟริกา พบทั่วไปตามหนอง บึง และทะเลสาบในประเทศซูดาน ยูกันดา และแทนกันยีกา
ปลานิลเข้าสู่ประเทศไทยครั้งแรกโดยสมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศมกุฎราชกุมารแห่งประเทศญี่ปุ่น ซึ่งทรงจัดส่งเข้ามาทูลเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2508 จำนวน 50 ตัว ครั้งนั้นได้โปรดเกล้าฯ ให้ทดลองเลี้ยงปลานิลในบ่อสวนจิตรลดา เป็นหนึ่งโครงการในโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา
ผลการทดลองปรากฏว่าปลานิลที่ทรงโปรดเกล้าให้ทดลองเลี้ยงได้เจริญเติบโตและ แพร่ขยายพันธุ์ได้เป็นอย่างดี ต่อมาจึงได้พระราชทานชื่อว่า ปลานิล (โดยมีที่มาจากชื่อแม่น้ำไนล์ (Nile) ที่เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยดั้งเดิม
หรือชื่อวิทยาศาสตร์ Tilapia nilotica)และพระราชทานพันธุ์ปลาดังกล่าวให้กับกรมประมงจำนวนหนึ่ง เมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2509 เพื่อนำไปขยายพันธุ์และแจกจ่ายแก่พสกนิกร และปล่อยลงไว้ตามแหล่งน้ำต่าง ๆ ตามที่เห็นว่าเหมาะสม เนื่องจากปลานิลมีคุณลักษณะพิเศษหลายอย่าง เช่น กินอาหารได้ทุกชนิด เช่น ไรน้ำ ตะไคร่น้ำ ตัวอ่อนของแมลงและสัตว์น้ำเล็ก ๆ มีขนาดลำตัวใหญ่ ความยาวประมาณ 10-30 เซนติเมตร แพร่ขยายพันธุ์ง่าย และมีรสชาติดี
ในปัจจุบันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังโปรดเกล้าฯ ให้ทดลองเลี้ยงและแพร่ขยายพันธุ์ปลานิลในบ่อสวนจิตรลดาต่อไป ในทางวิชาการเรียกสายพันธุ์ปลานิลดังกล่าวว่า ปลานิลจิตรลดา ซึ่งยังคงเป็นปลานิลสายพันธุ์แท้ที่ประเทศไทยได้รับทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ
ลักษณะทั่วไป เป็นรูปร่างคล้ายปลาหมอเทศ ต่างกันที่ปลานิลมีลายสีดำและจุดสีขาวสลับกันไป บริเวณครีบหลัง ครีบก้นและลำตัวมีสีเขียวปนน้ำตาล มีลายดำพาดขวางตามลำตัว มีความยาวประมาณ 10-30 เซนติเมตร
ลักษณะนิสัย การกินเหยื่อและวิธีตกชิงหลิวปลานิล
ปลานิลเป็นปลาเกล็ดที่หากินหน้าดิน การเข้ามากินเหยื่อ การสังเกตุหมายปลานิล จะสังเกตุเห็นฟองอากาศ เม็ด สองเม็ด ลอยพักนึงแล้วแตกตัว ในบางลักษณะจะเห็นน้ำขุ่นคลุ้งขึ้นมาเป็นวง เนื่องจากปลานิลกำลังกัดรัง ซึ่งจะอยู่ใกล้ขอบบ่อหรือฝั่ง
ปลานิลเป็นปลาเกล็ดขนาดไม่ใหญ่เหมือนปลาจีนหรือปลาไน ไม่มีการขึ้นเล่นน้ำ แต่จะเป็นการว่ายลอยตัวผิวน้ำในบางเวลา ปลานิลที่ลอยผิวน้ำจะไม่สนใจเหยื่อ ตกปลาเกล็ดแบบชิงหลิว จึงมักโดนสไนเปอร์ซุ่มยิง
เหยื่อชิงหลิวตกปลานิล สามารถใช้ได้ทั้ง หัวอาหาร รำผสม ตามบ่อบางที่ใช้ขนมปังขอบปั่นเหมือนปลาจีน เนื่องจากปลานิลเป็นปลาเกล็ดที่รัปประทานไม่เลือกเหมือนปลาไน แต่ไม่ตะกละ รัปประทานได้ทั้งพืชและแมลง ได้หมด
เทคนิคชิงหลิว สามารถใช้วิธีตกหน้าดิน และลอยโซน4 เหนือหน้าดิน อยู่ที่สภาพอากาศ สภาวะการณ์ หมายตกปลา

ปลายี่สกเทศ



ปลายี่สก
ปลายี่สกเทศ หรือ ปลาโรหู้ ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Labeo rohita
ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae)มีรูปร่างลำตัวยาวทรงกระบอก ส่วนหัวสั้น ปากเล็ก มีหนวดสั้น 2 คู่ ริมฝีปากเป็นชายครุยเล็กน้อย และมีแผ่นขอบแข็งที่ริมฝีปากบนและล่าง มีเกล็ดขนาดเล็กตามแนวเส้นข้างลำตัว ครีบหลังและครีบก้นมีขนาดเล็ก ครีบหางเว้าลึก ลำตัวด้านบนสีคล้ำ ปลาขนาดใหญ่จะมีจุดสีน้ำตาลแดงหรือน้ำตาลอ่อนแต้มที่เกล็ดแต่ละเกล็ด ท้องมีสีจาง ครีบสีคล้ำมีขอบสีชมพูอ่อนหรือแดงขนาดโตเต็มที่พบใหญ่สุดได้ถึง 1 เมตร เป็นปลาพื้นถิ่นของภูมิภาคเอเชียใต้ตอนบน  มีพฤติกรรมอาศัยอยู่ในระดับกลางของแม่น้ำจนถึงท้องน้ำ ใช้ปากแทะเล็มพืชและสัตว์น้ำขนาดเล็กและอินทรีย์สารเป็นอาหาร สามารถปรับตัวได้ดีในแหล่งน้ำนิ่งแต่จะไม่วางไข่ถูกนำเข้ามาในปี พ.ศ. 2511  เช่นเดียวกับ ปลากระโห้เทศ (Catla catla)  และปลานวลจันทร์เทศ (Cirrhinus cirrhosus)  เพื่อเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์เป็นปลาเศรษฐกิจในประเทศ ปราฏฏว่าได้ผลสำเร็จเป็นอย่างดี และได้รับความนิยมมาก โดยมีการเลี้ยงอย่างแพร่หลายในหลายโครงการของกรมประมงทั่วปรเทศ อีกทั้งยังเป็นที่นิยมของบ่อตกปลาต่าง ๆ อีกด้วย จนสามารถขยายพันธุ์ได้เองในแหล่งน้ำของประเทศไทย
ลักษณะนิสัย และการกินเหยื่อ
เป็นปลาเกล็ดที่หากินโซนหน้าดินจนถึงระดับลอยกลางน้ำ กินเหยื่อชิงหลิวได้ทุกชนิด ตำแหน่งเหยื่อที่ปลายี่สกชอบที่สุดคือเหยื่อลอยเรี่ยๆหน้าดิน อาการที่ปลายี่สกเข้ามากินเหยื่อ หรือหมายปลายี่สก จะพบฟองอากาศเม็ด สองเม็ด คล้ายปลานิล เหยื่อที่มีกลิ่นหมักเปรี้ยวจะชอบมาก ตามหมายธรรมชาติปลายี่สกขนาดใหญ่ชอบอยู่ตามบริเวณตอไม้ ต้นไม้ใหญ่ในน้ำ เพื่อไล่กินแมลง หนอนน้ำ และพืชน้ำที่เกาะตามต้นไม้  การกินเหยื่อชิงหลิวของปลายี่สกจะใช้การเล็มเหยื่อ แล้วดูดเข้าปาก ทุ่นจึงมักถอนและค่อยจมพรุบหาย  ตามธรรมชาติปลายี่สกสามารถหากินที่หน้าดิน เพื่อไล่หาอาหาร มักเป็นหน้าดินที่เป็นกรวด
วิธีตกชิงหลิวปลายี่สก
ใช้เทคนิคหน้าดินและลอยกลางน้ำ ขึ้นอยู่กับสภาวะการณ์
 วางเหยื่อได้ตั้งแต่ผิวหน้าดิน ลอยเรี่ยหน้าดิน ลอยโซน4
ปลายี่สกเป็นปลาขนาดใหญ่ และเป็นสายพันธ์ที่ทำลายสายเอ็นมากที่สุดในบรรดาปลาเกล็ดชิงหลิว เนื่องจากการวิ่งอย่างรวดเร็ว รุนแรง รวมทั้งการกระโดดสะบัดตัวเหนือผิวน้ำ ตามหมายธรรมชาติขนาดใซส์ที่ชิงหลิวมีโอกาศได้ตัวส่วนมากไม่เกิน 4 กิโลกรัม ใหญ่กว่านี้ แม้แต่สายเซฟยังหมดม้วน
การวิ่งของปลายี่สกจะพุ่งออกไปกลางหมายอย่างรุนแรง รวดเร็ว เหมือนแข่งควอเตอร์ไมล์รถยนต์ จังหวะแรกที่พุ่ง ถ้าปล่อยเซฟไม่ทันโอกาศสายเอ็นขาดสูงมาก
สู้เบ็ดแบบวิ่งวนฉวัดเฉวียนรวดเร็วทั้งกลางน้ำ ผิวน้ำ และกระโดด  อึด ปราดเปรียว  .. ถ้าโดนตามหมายธรรมชาติ แค่ใซส์ขนาดสองถึงสามกิโลกรัมนักชิงหลิวก็เหงื่อหยดหมดแรงแขนสั่น แล้วจะติดใจในลีลาของยี่สกมิยาบิ

วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2554

ปลากระสูบ

 

ชื่อไทย กระสูบจุด กระสูบขีด
ชื่ออังกฤษ
Eye - spot barb , Tranverse - bar'barb
ชื่อวิทยาศาสตร์
Hampala dispar [Smith] , Hampala
macralepidota [Van Hasselt]
ถิ่นอาศัย
          พบในแม่น้ำ ลำคลองทั่วไปทุกภาคของไทย
ลักษณะทั่วไป
          อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน ลำตัวค่อนข้างยาว ด้านข้างแบนท้องกลมมน จะงอยปากแหลม ปากกว้างและเอียงขึ้นเล็กน้อย มีหนวดที่มุมปาก 1 คู่ ครีบหลังอยู่ตรงข้ามกับครีบท้อง มีเกล็ดใหญ่ สีของตัวจะเป็นสีขาวเงิน มีลายดำพาดขวางลำตัว หางสีแดงสด ครีบสีแดงหรือสีส้ม มีขนาด 20-50 เซนติเมตร
อาหารธรรมชาติ
          กินลูกปลาขนาดเล็กเป็นอาหาร
พฤติกรรม
          เป็นปลาที่ว่องไว ปราดเปรียวและตื่นตกใจง่าย โดยทั่วไปมีนิสัยก้าวร้าวไม่เหมาะที่จะนำมาเลี้ยงรวมกับชนิดอื่นเพราะแม้แต่ พวกเดียวกันเอง ถ้ามีขนาดแตกต่างกันหากนำมาเลี้ยงรวมกันจะกัดกันเอง
อุปกรณ์ที่ใช้
คันเบ็ดและรอก ใช้ได้ทั้งชุดสปินนิ่งและเบทคาสติ้ง
ขนาดปานกลางขึ้นไป
สายเอ็น เลือกใช้ได้ตั้งแต่ 8 - 16 ปอนด์
ลีดเดอร์ ใช้สายเอ็นไนลอนธรรมดาขนาดใหญ่กว่า
สายเอ็น 1 - 2 เท่า
เหยื่อ ใช้เหยื่อสดได้หลายชนิด เช่น กุ้ง ปลาเล็ก
ไส้เดือน แต่เลือกใช้เหยื่อเป็นจะได้ผลมาก
กว่า โดยใช้เหยื่อลูกปลาสร้อย ปลาตะเพียน
ตัวเล็กๆ ปลาซิวแก้ว เป็นต้น แต่ส่วนมาก
นักตกปลานิยมใช้วิธีตกปลากระสูบด้วยเหยื่อ
ปลอมประเภทสปูน สปินเนอร์และปลาปลอม
ปลากระสูบทั้ง 2 ชนิด คือกระสูบจุดและกระสูบขีดนี้มีความแตกต่างกันไม่มากนัก ดังนั้นจะอธิบายลักษณะรวมของมันไปพร้อมๆ กัน ปลากระสูบเป็นปลาเกล็ดลำตัวแบนมีช่วงกว้างตรงส่วนท้องและเรียวไปทางส่วนหาง ตาโต ปากขนาดปานกลาง เกล็ดกลมขนาดใหญ่ ครีบหลังตั้งสูงเป็นก้านครีบแข็ง หางแฉกลึก มีเส้นสีดำปนแดงคาดตามแนวครีบหางทั้งด้านบนและล่าง ด้านละ 1 แถบ จุดเด่นก็คือรอยคาดสีดำตรงจุดกึ่งกลางลำตัวมองเห็นได้ชัด ลำตัวด้านบนเป็นสีเขียวปนเหลืองและเหลืองทอง ท้องสีขาว มีฟันเล็กละเอียดอยู่ทั้งขากรรไกรบนและล่าง ทั้งหมดนี้เป็นลักษณะของปลากระสูบขีด ส่วนปลากระสูบจุดนั้น ครีบหลังจะสั้นกว่ารวมทั้งครีบหางจะแคบและแฉกลึกเข้าในน้อยกว่า สิ่งที่เป็นขอแตกต่างเห็นได้ชัดคือจุดสีดำขนาดปานกลางอยู่ตรงกึ่งกลางลำตัว น้ำหนักขนาดของปลากระสูบนั้นโดยเฉลี่ยประมาณ 1 กิโลกรัม แต่ก็มีขนาดใหญ่น้ำหนักถึง 4 - 5 กิโลกรัมด้วยถ้าโตเต็มที่ เมื่อมีขนาดเล็กๆ จะอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง ขึ้นไล่ลูกปลาบนผิวน้ำเห็นได้ชัดเจน อาหารของประกระสูบได้แก่ ลูกกุ้ง ลูกปลา และแมลงน้ำ ปลากระสูบพบทั่วไปในแหล่งน้ำธรรมชาติ เช่น แม่น้ำ ลำธารต่างๆ ปัจจุบันมีอยู่ชุกชุมตามอ่างเก็บน้ำหลายแห่ง ปลากระสูบขีดจะพบในเขตภาคกลางและภาคใต้ ส่วนกระสูบจุดนั้นจะพบมากทางภาคอีสาน ปลากระสูบเป็นปลาที่มีก้างมากพอสมควร แต่ก็สามารถนำมาปรุงอาหารได้หลายชนิด เมื่อนำมาย่างรมควันและนำไปปรุงอาหารอื่นๆ จะให้รสชาติที่ดีกว่าบริโภคสด